วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

คิดมุมกลับ

คิดมุมกลับปรับชีวิตให้เป็นบวก



คิดมุมกลับเพื่อสุขภาพที่ดี

      


             


             ขณะที่คุณกำลังอ่านประโยคนี้อยู่  คุณจะอธิบายอารมณ์ความรู้สึกของคุณว่าเป็นอย่างไร? ลองจินตนาการว่าคุณกำลังยืนส่องกระจกคุณรู้สึกอย่างไร?  ต่อมาให้นึกภาพตัวเองยืนชั่งน้ำหนัก คุณรู้สึกอย่างไร? น่าเสียดายที่ความรู้สึก 2 อย่างหลังเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่คนส่วนมากมีกับสุขภาพตัวเอง ทั้งรูปร่างและน้ำหนัก
            มีหนังสือมากมายที่เขียวเกี่ยวกับเหตุผลที่เรามีความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองอย่างนั้น ผมอยากให้คุณเป็นคนตัดสินเองว่าคุณรู้สึกอย่างไร ผมจึงอยากให้บทความนี้เป็นเรื่องของการหาวิธีเจ๋งๆที่จะทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง สุขภาพและความเป็นอยู่ของตัวเองได้ตลอดเวลา






             บรรดาคนรักสุขภาพทั้งหลาย คุณพร้อมหรือยัง อีกครั้งนะ  คุณพร้อมหรือยัง?  ถ้าพร้อมแล้วก็ได้เวลา....
            หยุดก่อน ! ใจเย็นๆ  สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำตัวสบายๆ  คุณคิดว่าผมจะเสนอโปรแกรมเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่งมาราธอนภายใน 1 เดือนจริงๆน่ะหรือ? แต่นี่คือการคิดมุมกลับนะ! เราไม่ทำอะไรเหมือนคนอื่นหรอ
            ผมเชื่อด้วยใจจริงเลยว่าถ้าคุณอยากมีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วละก็คุณเริ่มจากการทำสุขจิตให้ดีก่อน  คิดมุมกลับและเริ่มจากภายในตัวเองก่อนเลย
            การเรียนรู้วิธีการผ่อนคลายตัวเองอย่างถูกวิธีต้องอาศัยการทุ่มเทเช่นเดียวกับการฝึกซ้อมวิ่งมาราธอน เพียงแค่ใช้กล้ามเนื้อคนละส่วนเท่านั้น  หลายคนคิดว่าการผ่อนคลายคือการนั่งอยู่หน้าทีวี อยู่นิ่งๆ  และทำตัวขี้เกียจอยู่บ้าน  แม้จะถือเป็นการพักผ่อนเหมือนกัน  แต่ไม่ต้องถึงกับใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อทำให้เก่งขึ้นหรอก!

            ผมขอท้าทายให้คุณเรียนรู้การผ่อนคลายตัวเองอย่างถูกวิธี  และใช้จุดที่แสนวิเศษนั้นเพื่อฝึกฝนตัวเองให้มีสุขภาพและกำลังกายกำลังใจที่ยอดเยี่ยมในระหว่างที่อยู่ในห้วงแห่งการผ่อนคลายสุดๆ  วิธีนี้จะช่วยให้คุณอยากทำในสิ่งที่คุณรู้ว่าต้องทำมากขึ้น  คุณจะหาเวลาทำและพอใจกับกระบวนการนั้น

วิธีผ่อนคลายอย่างถูกวิธี
1.หาเวลาสัก 15 นาที  คุณทำได้อยู่แล้ว  แค่อย่าโอ้เอ้นั่งดูข่าว ตื่นให้เช้าขึ้น 15 นที  เวลาแค่ 15 นาทีคุณหาได้อยู่แล้วถ้าคุณอยากทำ
2. หาสถานที่ที่ไม่มีใครรบกวน  ปิดโทรศัพท์มือถือ  ไล่เด็กๆให้อยู่เงียบๆเป็นต้น
3. หากคุณไม่ชอบความเงียบ  สามารถเปิดเพลงที่ผ่อนคลายเบาๆได้
4. นั่งตัวตรง  หากคุณเอนตัวนอน  สมองของคุณอาจจะคิดว่าคุณอยากงีบหลับซึ่งมันก็ดีอยู่หรอก  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้
5. สูดลมหายใจเข้าลึกๆ  สัก 2 ครั้งและหลับตาลง
6. พยายามผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ
7. เมื่อคุณเริ่มผ่อนคลายแล้ว  ให้มุ่งสมาธิไปที่ความคิด  เสียงและภาพที่ผ่อนคลาย
8. เมื่อคุณผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ  ให้มุ่งไปที่ความรู้สึกดีๆจากการผ่อนคลาย
9. เมื่อความคิดของคุณเริ่มล่องลอย  ให้ยอมรับความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นและดึงให้กลับมามีสมาธิกับความผ่อนคลายของคุณ
10. พอคูณรู้สึกผ่อนคลาย ให้หาโอกาสมองตัวเองว่าคุณแข็งแรงและมีสุขภาพดีแล้ว มองว่าตัวเองได้เลือกในสิ่งที่ถูกต้อง  กระฉับกระเฉง  มีพลังงานและมีชีวิตชีวา
11. เมื่อได้จังหวะเหมาะแล้ว  ให้นับ 1 ถึง 5 เบาๆ  ในขณะที่นับตัวเลขแต่ละตัว  คุณจะรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น
12. เมื่อนับถึง 5 แล้วให้ลืมตาขึ้น  ยืดเส้นยืดสาย  และซึมซับความรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ที่คุณเพิ่งสร้างให้กับตัวเอง
            การผ่อนคลายอย่างถูกวิธีต้องอาศัยวินัยและการฝึกฝนแต่ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม  มันเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าควรทำแต่มักไม่ค่อยได้หาเวลาทำ  ถ้าอย่างนั้นลองเลิกดูข่าวหรือละครบ้างดีไหม?

การพักผ่อนอย่างลุ่มลึกเป็นพื้นฐานหนึ่ง
ของการมีสุขภาพที่กระฉับกระเฉง

             แต่ยังไม่ถึงเวลาต้องออกไปวิ่งหรอกครับ  แม้ว่าการออกกำลังกายให้หัวใจสูบฉีดเลือดลมนั้นจะเป็นส่วนสำคัญในการคิดมุมกลับเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างที่ทราบดีอยู่แล้ว  แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะรู้ถึงความสำคัญของการยืดเส้นยืดสายเพื่อสุขภาพที่ดีหรือไม่
            คุณรู้หรือไม่ว่าเพียงคุณได้ยืดเส้นยืดสายสักสัปดาห์ละสองสามหนคุณจะ :
            ได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
            พัฒนาการทำงานประสานกันของร่างกาย
            สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
            ทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
            เพิ่มน้ำเลี้ยงไขข้อ
            เพิ่มกำลังวังชาให้สูงขึ้น
            นอกจากนี้แล้วคุณยังสามารถยืดเส้นยืดสายได้เกือบทุกที่แถมยังไม่เปลืองเงินในกระเป๋าอีกด้วย
            ไม่จำเป็นต้องวิ่ง  สมัครฟิตเนส  หรือลงทุนลงแรงอะไรเลย  แค่นี้คุณก็รู้สึกได้ถึงสุขภาพที่ดีและความสุขที่เพิ่มพูนได้แล้ว



           ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นบ่อเกิดของความกังวล ความเครียดและอาการหดหู่สำหรับหลายๆคน   ผมเองก็เคยอ่านบทความเกี่ยวกับรูปลักษณ์และรู้ดี(ตามระดับสติปัญญา) ว่านายแบบที่โชว์ล่ำอยู่บนปกนิตยสารเมนส์เฮลท์(Men’s Health) นั้นเป็นเพียงคนส่วนน้อยที่มีรูปร่างหน้าตาฟิตเปี๊ยะสมบูรณ์แบบ  ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  พอมองตัวเองในกระจกทีไรก็มีเรื่องให้ติติงตัวเองได้ทุกที  ปัญหาคือเวลาที่เรามองตัวเองในกระจก  เราจะมองที่ไหนเล่า?  ใช่ครับ  เราจะมองที่ข้อบกพร่องของตัวเอง
            มาท้าความคิดในมุมกลับกันดีกว่า  ครั้งหน้าที่คุณมองเงาเปื่อยตัวเองในกระจก  ผมขอท้าให้คุณมองในมุมกลับและมองในส่วนของร่างกายที่คุณชอบให้ได้  3 จุด  ใช่ครับมันช่างท้าทายเหลือเกิน  แต่ก็เป็นความท้าทายที่สำคัญเช่นกัน


ก็ได้นะ  ถ้าคุณมีแรงพอ
            ผมเชื่อว่าคุณต้องรู้จักคนที่สามารถตื่นเช้าได้อย่างน่าแปลก  (แถมยังน่าหงุดหงิดอีกด้วย)  และออกไปวิ่งได้ถึง 5 ไมล์ก่อนอาหารเช้า  เลิกพูดเถอะครับว่าคุณทำได้  แต่ช่วยเล่าหน่อยเถอะว่าคุณทำได้ ยังไง
            สิ่งที่คนส่วนมากทำตอนที่เริ่ม “ฟิตหุ่น” ก็คือตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะฟิตให้ได้  และครั้งนี้ต้องไม่เหมือนที่แล้วมา  พวกเขาเริ่มต้นในช่วงสุดสัปดาห์  ออกไปวิ่ง  รู้สึกดี  เข้าฟิตเนส  วัดหุ่นตัวเอง  ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนแน่!
            พอถึงวันอังคารเขายุ่งมาก  ไม่มีเวลาๆไปวิ่ง  ต้องทำอะไรอีกเพียบเลย  รู้ตัวอีกทีก็ไม่ได้ไปฟิตเนสตั้งหนึ่งสัปดาห์แล้ว  ต้องกลับไปใหม่ให้ได้  พวกเขารู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่มีวินัย  เลิกดีกว่า....
            กระบวนการที่ว่านี้มีช่วงเวลาสำคัญที่จุดชนวนของความล้มเหลวและน่าจะเป็นช่วงที่เจองานยุ่งนี่เอง  แทบจะเรียกได้ว่าคนเรามีจิตใต้สำนึกที่คอยหาข้ออ้างให้เลิกทำ  พอมีข้ออ้างปุ๊บจิตใต้สำนึกของเราก็ถูกปั๊บ  ทำให้คว้าน้ำเหลวอยู่นั่น
            คราวหน้าต้องไม่เหมือนคราวนี้

ถ้าจะทำให้คราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน
คุณก็ควรเริ่มต้นโดยการใช้ความคิดที่แตกต่างออกไป

ลองดูแนวคิดในมุมกลับที่จะทำให้ “ครั้งนี้” ไม่เหมือนคราวที่แล้ว 7 ข้อต่อไปนี้
            1.เขียนเป้าหมายที่ต้องการทำให้ได้เอาไว้  เอามาอ่านทุกเช้าและทุกคืน  และนึกภาพเป้าหมายนี้ให้ชัดเจนตอนที่คุณฝึกการผ่อนคลาย
            2.มุ่งมั่นด้วย “ปณิธานที่แรงกล้า” อย่าบอกตัวเองว่าจะไปออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วัน  ทั้งที่คุณทำได้แค่ 3 วัน  มีวินัยกับปณิธานที่คุณทำได้จริง
            3.ทำปณิธานให้มองเห็นได้  แปะรูปครูฝึกไว้ที่ประตูหน้าบ้าน  พับเป้าหมายที่เขียนไว้แล้วเก็บใส่กระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋าถือ  ทำความสะอาดอุปกรณ์  และเตรียมพร้อมออกลุย
            4.กำหนดตารางเวลาการออกกำลังกายของคุณให้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการนัดหมายอื่นๆ  และจดไดอารี่ไว้  เขียนลงไปในตารางแผนงานที่แปะอยู่บนฝาผนังว่าคุณได้ออกกำลังกายช่วงใดไปบ้างแล้ว
            5.หากสามารถทำได้  ให้หาครูฝึกที่ดีที่รับประกันความสำเร็จได้  หลีกเลี่ยงการจ้างครูฝึกหน่อมแน้มประเภทที่จ้างมาแพงๆเพียงเพื่ออ่านนิตยสารสุขภาพและนั่งนับว่าคุณชิตอัพไปกี่หนแล้ว
            6.คิดหารางวัลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองมากขึ้น  รวมทั้งการลงโทษตัวเองเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจเช่นกัน
            7.ลบคำว่า “เหนื่อย” ออกไปจากใจแต่ใช้คำว่า “ถ้าอึดกว่านี้จะดีกว่านี้” หรือ “ต้องอึดให้มากขึ้น”
            เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้คุณเลิกออกกำลังกายคือความเชื่อที่ว่าคุณเหนื่อยเกินไป  ตามด้วยความเชื่อที่ว่าคุณไม่มีเวลา  อันเป็นที่มาของเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องจัดตารางเวลาสำหรับการออกกำลังกายไว้ในไดอารี่ของตัวเอง
            เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือหลายคนเชื่อว่าจะต้องออกกำลังกายหลายๆชั่วโมงจึงจะฟิตตัวเองและลดน้ำหนักได้  ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย  ตอนที่ผมพบกับพอล  มอร์ต  เจ้าของพรีซิชั่นฟิตเนส(Precision  Fitness) เขาทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง  เขาถามผมว่า “ไมเคิล  คุณมีเวลาออกกำลังกายเท่าไหร่?”  ผมบอกว่าก็แล้วแต่  ถ้าอยู่บ้นก็มีเวลามากหน่อย  แต่ถ้าผมเดินทาง  ผมจะไม่ค่อยมีเวลา  ความเชื่อแบบนี้ดูแคบชะมัดเลยว่าไหม?
            พอลได้แสดงให้ผมเห็นถึงวิธีการคิดมุมกลับโดยแนะนำวิธีการออกกำลังกาย “เผาผลาญไขมัน”  แบบเต็มที่คุณสามารถทำได้ในห้องพักของโรงแรงโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลยโดยใช้เวลา 5 นาที  จากนั้นเขาถามแกมประชดว่าผมพอจะเจียดเวลาจาก “ตารางเวลาอันแสนยุ่งเหยิง” ของผมได้ไหม
            ความเหนื่อยเกิดจากความคิดของเราเอง

ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยขนาดไหน  เชื่อขนมกินได้เลยว่า
ร่างกายของคุณยังมีพลังงานมากพอ
ที่จะออกกำลังกายดีๆ ได้อีกถึง 99.9%

ที่ดีกว่านั้นคือคุณจะรู้สึกมีพลังเหลือล้นหลังจากได้ออกกำลังกายไปแล้ว







อ้างอิง
Michael  Hrppell. (2555). คิดมุมกลับปรับชีวิตให้เป็นบวก. กรุงเทพ:ดีไลท์พับลิชชิ่ง.